เดินไม่ได้เกือบ 2 ปี!
ชีวิตล่าสุด ‘ปรียานุช ปานประดับ’ อดีตนางงาม เกษียณอยู่บ้านบนดอย
เป็นคู่รักดารารุ่นใหญ่ที่หลายคนต่างทึ่งในการครองคู่จริงๆ สำหรับคู่ของ ตู่ นพพล โกมารชุน กับ ปรียานุช ปานประดับ เพราะทราบกันดีว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรักของทั้งคู่ก็ยังหวานชื่นไม่มีจืดจางลงแม้แต่น้อย
ซึ่งเมื่อช่วงที่ผ่านมา ซ้อนุช ปรียานุช ไม่สบายอย่างหนัก จนต้องไปพักฟื้นรักษาตัวที่เชียงราย เพราะอากาศดีกว่ากรุงเทพมหานคร และได้อยู่กับธรรมชาติ ส่วนตัวของอาตู่เองก็บินมาทำงานที่กรุงเทพมหานคร
อาตู่เกิดมาพ่อแม่เป็นนักแสดงเป็นนักพากย์อยู่ในวงการแล้ว เราเลยรู้จักนักแสดงทั้งหมด รู้จักเหตุการณ์ในวงการทั้งหมด เคยเห็นมาแล้วคนที่อยู่สูงสุดลงมาอยู่ต่ำสุด
กับต่ำสุดไปสู่สูงสุดชีวิตเขาเป็นยังไง เป็นบทเรียนให้ได้จำมาสอนตัวเอง แม่ไม่เคยสอนการแสดงเลยแต่แม่จะสอนการใช้ชีวิตการเป็นนักแสดง เราเตรียมใจได้ทำใจได้
เวลามีปัญหาคนข้างกาย คือ นุช ปรียานุช ภรรยา ให้กำลังใจยังไงต้องสู้ต้องไปต่อ สองคนช่วยกัน ต่างคนต่างช่วยกันเพราะถ้ามีอะไรกระทบเข้ามาในงานบริษัทหมายถึงกระทบทั้งคู่ พี่นุชเขาเป็นผู้หญิงที่สู้ไม่งั้นเขามาไม่ถึงตรงนี้แหละ
อาตู่ ยังวางแผนเกษียณ ย้ายไปอยู่เชียงรายถาวร ด้วย อีก 3-4 ปี เริ่มถอยจากการเป็นผู้จัด ผู้กำกับ แรงเริ่มถอยเหมือนรู้ตัวดีรู้สังขารเราเป็นยังไง เมื่อไหร่ถึงเลข7ถอยได้แล้ว แต่เรื่องการแสดงไม่หยุดแน่นอน ยังไงก็ยังชอบงานแสดง
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับ นุช-ปรียานุช ปานประดับ เจ้าของนามปากกาว่า สิริพิรี ที่มีผลงานนวนิยาย เรื่อง ดอกไม้ใต้เมฆ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์)
บ่ายวันพุธวันหนึ่ง ณ บ้านของเธอเอง ซึ่งเราสองคนพูดคุยกันในบรรยากาศสบายๆ โดยเธอเริ่มต้นเล่าว่ากับนวนิยายเรื่องนี้ เธอตั้งใจให้เป็นนวนิยายโรแมนติกที่ภายใต้ความโรแมนติกนั้นเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ มากมาย
“สำหรับนวนิยายเรื่องนี้ ที่ต้องวางโครงเรื่องให้เป็นเมืองสมมติ โดยมีตัวละครเอกเป็นเจ้าชาย เหตุเพราะถ้าเราสร้างเรื่องให้เกิดขึ้นในเมืองไทย
เวลาระบุอาชีพใดอาชีพหนึ่งของตัวละครเอก มันล้วนมีแต่อาชีพที่แตะต้องไม่ได้ เราเลยพล็อตเรื่องให้เป็นเมืองสมมติ จะได้ทำอะไรได้มากกว่า”
แม้เธอจะพล็อตเรื่องให้เป็นเมืองสมมติ แต่การสมมติก็ต้องมีมูลความจริงมาผสมด้วยครึ่งหนึ่ง เพราะถ้ามีแต่การสมมติแบบเพ้อฝัน เดี๋ยวจะกลายเป็นเพ้อเจ้อไปกันใหญ่
พอเราพล็อตเรื่องได้แล้ว ก็นำไปทำเป็นบทละคร ที่เอาไปเป็นทำละครที่เพิ่งลาจอไป จากนั้นก็นำบทละครมาเรียบเรียงใหม่เป็นนวนิยายเรื่องนี้
กับนวนิยายเรื่องนี้ แก่นสารสำคัญของเรื่อง ปรียานุชต้องการนำเสนอว่า คนเราควรมองคนอื่นที่จิตใจ น้ำใจ และทัศนคติที่ดี “คนเราทุกวันนี้ มักมองกันที่ฐานะหรือหน้าที่การงานก่อน จนมองข้ามจิตใจ น้ำใจ
หรือทัศนคติที่ดีของคนคนนั้น รวมทั้งเราทุกคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ แม้จะยิ่งใหญ่หรือเล็กๆ แต่ทุกหน้าที่สำคัญเหมือนกันหมด
และเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ซึ่งเราอยากให้แก่นสารสำคัญนี้มันคือรากฐานของคน แม้จะนำเสนอผ่านนวนิยายหรือละครที่มีพล็อตเรื่องมาจากเมืองสมมติ แต่มันก็คือแก่นสารสาระสำคัญที่เป็นจริง ที่เราควรต้องตระหนักถึง